เลือก ยาสีฟัน สำคัญอย่างไร
ยาสีฟัน ของที่ต้องมีติดห้องน้ำทุกบ้าน สิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณมีสุขภาพช่องปาก และ ฟันที่ดี พร้อมกับลมหายใจที่สดชื่น
ส่วนประกอบในยาสีฟัน มีอะไรบ้าง?
ยาสีฟัน เป็นผลิตภัณฑ์สำหรับทำความสะอาดช่องปากและฟัน มีหลายรูปแบบทั้งเนื้อครีม เจล และผง ทำงานร่วมกับแปรงสีฟัน ในการขจัดคราบพลัค และเศษอาหารที่ติดตามซอกฟันให้หมดไป โดยส่วนประกอบต่างๆ ในยาสีฟันจะมีคุณสมบัติที่ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ แบคทีเรีย และกลิ่นปาก จึงลดการเกิดปัญหาช่องปากและฟันได้ดี ซึ่งส่วนประกอบสำคัญในยาสีฟัน มีดังนี้
- ฟลูออไรด์ ส่วนประกอบสำคัญที่ต้องมีในยาสีฟัน ทำหน้าที่ช่วยยับยั้งกรดที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียและจุลินทรีย์ จึงลดปัญหาฟันผุ และเคลือบฟันให้แข็งแรง โดยฟลูออไรด์ในยาสีฟันควรมีในปริมาณ 1000 – 1500 ppm ถ้ามีปริมาณมากไปจะทำให้ฟันตกกระได้ ซึ่งเกิดขึ้นได้ง่ายในวัยเด็ก ตั้งแต่ 18 เดือน – 6 ปี ยาสีฟันเด็กจึงต้องมีปริมาณฟลูออไรด์ไม่เกิน 1000 ppm
- สารขัดฟัน จะช่วยกำจัดคราบต่างๆ ที่เกาะตามผิวฟัน โดยส่วนมากจะเป็นสารจำพวก แคลเซียมคาร์บอเนต แคลเซียมฟอสเฟต อะลูมินา ซิลิกอนไดออกไซด์ ทั้งนี้ ยาสีฟันควรมีสารขัดฟันในปริมาณที่พอเหมาะ หากมากเกินไปจะทำลายผิวเคลือบฟัน เป็นเหตุให้ฟันเหลือง ฟันสึกและเสียวฟันได้
- สารทำความสะอาดที่ก่อให้เกิดฟองขณะแปรงฟัน โดยส่วนใหญ่เป็นโซเดียมลอริลซัลเฟต
- สารแต่งกลิ่น และรส โดยปัจจุบันจะใช้ ไซลิทอล ซึ่งเป็นสารให้ความหวานจากธรรมชาติ ไม่ทำให้ฟันผุ ในการปรุงแต่งให้ยาสีฟันมีรสหวานเล็กน้อย และยังช่วยสร้างสมดุลกรด – ด่าง ในช่องปากด้วย
- สารเพิ่มความชุ่มชื้น เพื่อไม่ให้ยาสีฟันแข็งตัว
- สารเพิ่มความหนืด เพื่อให้ยาสีฟันจับตัวเป็นเนื้อเดียวกัน และบีบออกจากหลอดได้
เลือกยาสีฟันให้เหมาะกับตนเอง เพื่อสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี
ส่วนประกอบสำคัญเหล่านี้ ทำให้ยาสีฟันมีประสิทธิภาพในการทำความสะอาดช่องปากและฟันให้สะอาดได้ แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมียาสีฟันหลากหลายประเภทให้เลือกใช้ ซึ่งมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป ผู้บริโภคอย่างเราจึงต้องเลือกให้เหมาะกับความต้องการของตนเองมากที่สุด แล้วยาสีฟันแบบใดล่ะที่เหมาะกับคุณ? มาหาคำตอบกันเถอะ
- เนื้อยาสีฟันต้องไม่ทำร้ายผิวเคลือบฟัน
ลักษณะยาสีฟันตามท้องตลาดจะแบ่งออกเป็น 3 เนื้อ คือ เนื้อแบบครีม เนื้อแบบเจล และแบบผง โดยส่วนใหญ่เนื้อครีมและเจลจะเป็นที่นิยม เนื่องจากมีเนื้อที่เนียนละเอียด ไม่ต้องกังวลว่าจะก่อให้เกิดอันตรายต่อผิวเคลือบฟัน ส่วนแบบผง หรือแบบครีมที่เนื้อค่อนข้างหยาบ หากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน จะมีความเสี่ยงที่ผิวเคลือบฟันจะถูกทำลาย เป็นผลให้ฟันสึก
- ยาสีฟันสูตรฟลูออไรด์ป้องกันฟันผุได้
ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ควรใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ เนื่องจาก ฟลูออไรด์มีคุณสมบัติในการปกป้องฟันจากกรดที่แบคทีเรียปล่อยออกมาขณะจับตัวกับน้ำตาลที่ตกค้างในช่องปาก ซึ่งเป็นต้นเหตุให้ฟันผุ นอกจากนี้ ฟลูออไรด์ยังช่วยให้ผิวเคลือบฟันแข็งแรง และลดการก่อตัวของหินปูนได้ด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ในวัยเด็ก การใช้ยาสีฟันสูตรฟลูออไรด์ จำเป็นต้องควบคุมปริมาณให้เหมาะสมกับวัย กล่าวคือ
- อายุต่ำกว่า 18 เดือน ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาสีฟัน เนื่องจากช่องปากของเด็กมีความบอบบาง และเด็กมีโอกาสกลืนยาสีฟันเข้าไปขณะแปรง
- อายุน้อยกว่า 3 ปี ใช้ยาสีฟันปริมาณเท่ากับฟิล์มบางๆ หรือเมล็ดข้าว
- อายุ 3 – 6 ปี ใช้ยาสีฟันปริมาณเท่ากับเมล็ดข้าวโพด
- อายุ 6 ปีขึ้นไป ใช้ยาสีฟันปริมาณเท่ากับความยาวของขนแปรง
- ยาสีฟันลดอาการเสียวฟัน
ยาสีฟันประเภทนี้มักมีเนื้อละเอียดมาก โดยมักมีส่วนประกอบของ โพแทสเซียมไนเตรต ที่ช่วยลดความไวในการทำงานของเส้นประสาทในโพรงประสาทฟัน และฟลูออไรด์ ที่ช่วยอุดรูพรุนตามเนื้อฟัน เพื่อให้ปลายประสาทสัมผัสกับความร้อน – เย็นได้น้อยลง นอกจากนี้ จะลดปริมาณของสารขัดฟัน เพื่อช่วยลดอาการเสียวฟัน ดังนั้น ใครที่มีอาการเสียวฟัน ยาสีฟันก็เป็นหนึ่งทางเลือกที่สามารถบรรเทาอาการให้ดีขึ้นได้
- ยาสีฟันสำหรับโรคเหงือกอักเสบ
ยาสีฟันที่มีน้ำตาลนั้นเป็นตัวการสำคัญที่เอื้อให้แบคทีเรีย จุลินทรีย์เจริญเติบโต และปลดปล่อยสารพิษที่มีฤทธิ์เป็นกรดออกมา ทำให้สภาพช่องปากเป็นกรด
นอกจากทำให้ฟันผุแล้ว สารพิษยังทำลายเนื้อเยื่อของเหงือก เป็นเหตุให้เลือดออก และเหงือกอักเสบได้ ยาสีฟันสำหรับผู้เป็นโรคเหงือกอักเสบ จึงต้องไม่มีส่วนประกอบของน้ำตาลหรือน้ำตาลเทียม แต่จะมีสารสำคัญอย่างไซลิทอลแทน ซึ่งเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ ที่ช่วยในการสร้างสมดุลความเป็นกรด – ด่าง ในช่องปาก เมื่อช่องปากไม่มีสภาวะเป็น กรด แบคทีเรียก็จะเจริญเติบโตไม่ได้ จึงส่งผลดีต่ออาการเหงือกอักเสบ
- ยาสีฟันลดการสะสมของคราบหินปูน
ยาสีฟันอาจไม่ได้ช่วยขจัดหินปูนได้เหมือนการขูดหินปูนโดยทันตแพทย์ แต่ก็เป็นตัวช่วยลดการสะสมของหินปูนได้ โดยส่วนประกอบที่ช่วยควบคุมปริมาณคราบหินปูน คือ ฟลูออไรด์ ไพโรฟอสเฟต ซิงค์ซิเตรต ซึ่งมักจะมีในยาสีฟันเกือบทุกประเภท
- ยาสีฟันสำหรับผู้มีแผลในช่องปาก
หากเป็นแผลในช่องปากบ่อย ควรเลือกใช้ยาสีฟันที่ปราศจากสารทำความสะอาดที่ก่อให้เกิดฟอง อย่าง SLS (Sodium Lauryl Sulfate) ซึ่งอาจทำให้เกิดการระคายเคือง เลือดออก และการถลอกของเยื่อเมือกในช่องปาก ที่นำไปสู่การเกิดแผลในช่องปาก
- ยาสีฟันเพื่อฟันขาว
ยาสีฟันจะประกอบด้วยสารขัดฟัน ซึ่งทำหน้าที่ขจัดคราบต่างๆ ที่ติดตามผิวฟันออก ทำให้ฟันสะอาด และขาวเป็นธรรมชาติตามสีเนื้อฟัน โดยไม่ได้เห็นผลลัพธ์ฟันขาวอย่างชัดเจนเหมือนกับการฟอกสีฟัน
จะเห็นได้ว่า การเลือกยาสีฟันมีปัจจัยสำคัญขึ้นอยู่กับสภาพช่องปากและฟัน หรือปัญหาที่แต่ละคนเผชิญอยู่ การเลือกให้เหมาะสม จะช่วยเสริมสร้างสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีได้อีกทางหนึ่ง แต่สุดท้ายแล้ว ก็ลืมที่จะตรวจสุขภาพช่องปากและฟันเป็นประจำทุกๆ 6 เดือน ไม่ได้เด็ดขาด เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาในอนาคต สำหรับใครที่สนใจ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม หรือเข้ารับคำปรึกษาจากทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้เลยที่ BFC Dental ทุกสาขา