แปรงสีฟัน แบบไหนที่เหมาะกับคุณ?

เพราะสุขภาพช่องปากและฟันคือสิ่งสำคัญ การเลือก แปรงสีฟัน ที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณสามารถขจัดคราบสกปรกได้อย่างหมดจด ลดการเกิดปัญหาช่องปากและฟันได้เป็นอย่างดี

แปรงสีฟันสำคัญอย่างไร

แปรงสีฟัน อุปกรณ์สำคัญที่อยู่เคียงคู่กับยาสีฟัน มีหน้าที่ทำความสะอาดช่องปากและฟัน โดยขณะแปรงฟัน ขนแปรงจะทำหน้าที่ซอกซอนไปตามฟันและซอกฟัน เพื่อกำจัดคราบสกปรก คราบพลัค และเศษอาหารออกไป ทำให้ฟันและช่องปากสะอาด จึงไม่แปลกที่แปรงสีฟันจะเป็นอีกนึ่งสิ่งที่ขาดไม่ได้ และบางคนอาจต้องพกไว้ติดตัวเลยก็ได้

แปรงสีฟันที่มีขายตามท้องตลาด สามารถแบ่งได้ 4 ประเภท ตามอายุของผู้ใช้งาน โดยจะต่างกันที่ขนาดความยาวทั้งหมดของแปรงสีฟัน ความกว้าง ความยาว และความหนาของหัวแปรง ดังนี้

  1. แปรงสีฟันสำหรับเด็กต่ำกว่า 3 ปี
  2. แปรงสีฟันสำหรับเด็ก 3 – 6 ปี
  3. แปรงสีฟันสำหรับเด็ก 6 – 12 ปี
  4. แปรงสีฟันสำหรับผู้ใหญ่

โดยลักษณะของขนแปรงจะแบ่งได้ 2 ชนิดตามความอ่อนนุ่ม คือ ชนิดปานกลาง และชนิดนุ่ม นุ่มพิเศษ ซึ่งคุณก็ต้องเลือกทั้งประเภทของแปรงสีฟัน และชนิดของขนแปรงให้เหมาะสมกับความต้องการของตนเอง

เลือกแปรงสีฟันดี สุขภาพช่องปากก็จะดีไปด้วย

วิธีเลือกแปรงสีฟันให้เหมาะกับตนเอง ต้องคำนึงถึงเรื่องอะไรบ้าง? วันนี้เราจะมาบอกเทคนิคง่ายๆ ที่ช่วยให้คุณเลือกแปรงสีฟันที่ดีต่อช่องปากของคุณกัน โดยสิ่งแรกที่ต้องพิจารณา คือ

  • องค์ประกอบของแปรงสีฟันที่ดี
    • ด้ามแปรงสีฟัน จับถนัดมือด้วยความยาวที่พอเหมาะ แข็งแรงไม่หักงอได้ง่ายๆ
    • ขนาดของหัวแปรงสีฟัน ต้องไม่มีส่วนหรือมุมที่มีความคม ไม่ใหญ่เกินไป และมีรูปทรงที่สามารถซอกซอนเข้าไปทำความสะอาดภายในช่องปากได้อย่างทั่วถึง โดยหัวแปรงสีฟันของผู้ใหญ่ ควรมีขนาดความกว้าง ไม่เกิน 15 มิลลิเมตร และยาว ไม่เกิน 34 มิลลิเมตร
    • ขนของแปรงสีฟัน ควรผลิตจากไนลอน หรือ PTB มีความอ่อนนุ่มกำลังดี ผิวเรียบ ขอบไม่คม ขนแปรงกระจุกตัวไม่หลุดร่วงง่าย มี 3 – 4 แถว ปลายขนโค้งมนเล็กน้อย หากมีปลายแหลมต้องเป็นขนแปรงชนิดอ่อนนุ่มเท่านั้น การเลือกขนแปรงที่แข็งปานกลาง หรือแข็งมาก อาจนำไปสู่ปัญหาเหงือกร่น และเร่งให้เคลือบฟันสึกกร่อนได้ง่ายขึ้น
  • ราคาของแปรงสีฟันที่เหมาะสม นอกจากดูที่คุณภาพของแปรงสีฟันแล้ว อย่าลืมพิจารณาเรื่องราคาด้วย โดยราคาควรสอดคล้องกับคุณภาพของแปรงสีฟันที่ได้ ซึ่งราคาของแปรงสีฟันธรรมดาที่มีขายทั่วไป มีตั้งแต่หลักสิบ จนถึงหลักร้อย
  • แปรงสีฟันธรรมดา หรือ แปรงสีฟันไฟฟ้า หากพูดถึงประสิทธิภาพในการทำความสะอาดของแปรงสีฟันทั้งสองแบบ ก็พูดได้เลยว่า สามารถทำความสะอาดช่องปากและฟันได้ไม่ต่างกัน ดังนั้น เมื่อต้องเลือกระหว่างแปรงสีฟันธรรมดา กับ แปรงสีฟันไฟฟ้า เราอาจจะต้องพิจารณาที่เรื่องอื่น ได้แก่
    • แปรงสีฟันไฟฟ้า เกิดมาเพื่อช่วยผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านการเคลื่อนไหวให้สามารถแปรงฟันได้ง่ายขึ้น
    • แปรงสีฟันไฟฟ้ามีราคาแพงกว่าแบบธรรมดา และมีค่าใช้จ่ายเสริมในขณะใช้งานด้วย
    • แปรงสีฟันไฟฟ้าใช้ระบบสั่นในการทำความสะอาด โดยไม่ต้องออกแรงเอง จึงช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้ผู้ใช้งาน
    • แปรงสีฟันไฟฟ้าช่วยถนอมช่องปากมากกว่าแบบธรรมดา ที่ต้องใช้แรงในการแปรง ซึ่งเมื่อออกแรงมากเกินไป อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บ และเป็นต้นเหตุของเหงือกร่นได้ แต่อย่างไรก็ตาม แปรงสีฟันธรรมดา ก็สามารถควบคุมความหนักเบาในการแปรงได้ตามต้องการของผู้ใช้งาน

การดูแลรักษา และอายุการใช้งานของแปรงสีฟัน

เมื่อคุณเลือกแปรงสีฟันที่เหมาะกับตนเองได้แล้ว ก็อย่าลืมดูแลรักษาแปรงของคุณด้วย เพื่อประสิทธิภาพในการใช้งานที่ดี โดยมีขั้นตอนไม่ยุ่งยาก เพียงเริ่มจาก

  • หลังแปรงฟันเสร็จ ต้องล้างแปรงสีฟันให้สะอาด ปราศจากคราบยาสีฟัน และเศษอาหารที่อาจติดอยู่
  • วางแปรงสีฟันให้หัวแปรงตั้งขึ้น ปล่อยให้แห้งสนิท โดยไม่เก็บแปรงในภาชนะปิด เพราะจะเกิดความชื้น เป็นเหตุให้เกิดเชื้อรา และเอื้อต่อการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย
  • ไม่ใช้แปรงสีฟันร่วมกับผู้อื่น
  • อายุการใช้งานของแปรงสีฟันอยู่ที่ประมาณ 3 – 4 เดือน ดังนั้น หากใช้งานได้ครบตามระยะเวลาดังกล่าวแล้ว ก็ควรเปลี่ยนแปรงสีฟันใหม่เสมอ

เพราะเราต้องแปรงฟันทุกวัน การเลือกแปรงสีฟันให้เหมาะกับตนเอง จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขจัดคราบจุลินทรีย์ คราบพลัค และเศษอาหารได้อย่างหมดจดมากขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดปัญหาช่องปากและฟัน เราจึงต้องแปรงฟันด้วยแปรงสีฟันที่ดีต่อช่องปากของคุณอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ตอนเช้า และก่อนนอน นอกจากนี้ อย่าลืมตรวจสุขภาพฟันและช่องปากเป็นประจำทุกๆ 6 เดือน ที่ BFC Dental ทุกสาขา เพื่อสุขภาพช่องปาก และฟันที่ดี

Recommended Posts